DTF กับการรักษ์โลก : เป็นเทคโนโลยีงานพิมพ์เสื้อที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมหรือไม่

ในยุคปัจจุบันนี้ แน่นอนว่าผู้บริโภคให้ความสำคัญกับความยั่งยืน (Sustainability) มากขึ้น ธุรกิจทุกภาคส่วนต่างเร่งปรับตัวเพื่อให้สอดคล้องกับแนวคิดรักษ์โลก ด้วยการพยายามลดขยะที่ไม่จำเป็น ใช้อุปกรณ์วัตถุดิบที่ไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ไม่เว้นแม้แต่อุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์และแฟชั่น โดยเฉพาะกลุ่มสกรีนเสื้อ ที่มีการแข่งขันสูงและได้รับแรงกดดันจากตลาดในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
หนึ่งในเทคโนโลยีสกรีนเสื้อที่ถูกพูดถึงบ่อยครั้งในช่วงไม่กี่ปีนี้คือ ระบบพิมพ์ DTF (Direct to Film) ซึ่งระบบนี้เป็นเทคโนโลยีใหม่ในการพิมพ์ลายเสื้อ (โดยมีขั้นตอนคือพิมพ์ภาพลงบนแผ่นฟิล์ม จากนั้นโรยกาวและนำมารีดติดกับเสื้อ)
ซึ่งถูกมองว่าอาจเป็นทางเลือกใหม่สำหรับแบรนด์เสื้อผ้าที่ต้องการปรับตัวเข้ากับผู้คนที่ใส่ใจการรักษ์โลก เพราะเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม วันนี้จะพามาเจาะลึกกันว่า จริงๆ แล้ว การสกรีนเสื้อด้วยระบบ DTF เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมจริงหรือไม่? เราจะใช้ประโยชน์จาก DTF อย่างไรเพื่อช่วยลดโลกร้อน ?
ก่อนจะไปรู้ว่า DTF เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมไหม ควรรู้ก่อนว่า DTF คืออะไร? โดยต้องเข้าใจระบบงานการทำงานของ DTF
ระบบพิมพ์ DTF (Direct to Film) แตกต่างจากระบบสกรีนเสื้อระบบอื่น เพราะระบบนี้จะพิมพ์ลายเสื้อลงบนแผ่นฟิล์มพิเศษ โดยใช้หมึกเฉพาะสำหรับ DTF จากนั้นโรยด้วยผงกาว แล้วนำไปรีดติดลงบนเสื้อผ้าหรือวัสดุอื่นๆ (เช่น กระเป๋าผ้า) ด้วยเครื่องรีดความร้อน (Heat Press) ฟังแล้วเหมือนจะมีไม่กี่ขั้นตอน แต่ทว่าทุกๆ ขั้นจะต้องผ่านวัตถุดิบในการทำสกรีนมากมาย

ข้อดีอันดับแรกของ DTF คือ ไม่จำเป็นต้องจำกัดชนิดของผ้า สามารถพิมพ์ลงบนเสื้อผ้าหลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นผ้าคอตตอน โพลีเอสเตอร์ หรือผสมผสานอื่น ๆ ซึ่งแตกต่างจากระบบ DTG (Direct to Garment) หรือการสกรีนแบบเดิมระบบบล็อกที่มีข้อจำกัดมากกว่า
ระบบสกรีนเสื้อ DTF กำลังได้รับความนิยมในหลายประเทศ ทั้งในกลุ่มธุรกิจขนาดเล็กไปจนถึงโรงงานผลิตเสื้อผ้าขนาดใหญ่ เพราะตอบโจทย์งานพิมพ์จำนวนไม่มากได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถพิมพ์งานจำนวนมากได้ด้วยลวดลายที่เหมือนเดิมตั้งแต่ตัวแรกถึงตัวสุดท้าย
มาดูกันดีกว่าว่า DTF มีส่วนช่วยรักษ์โลกอย่างไร
1. ลดของเสียจากการผลิต (Waste Reduction)
ในอดีต กระบวนการสกรีนเสื้อแบบเดิม เช่น ซิลค์สกรีน จำเป็นต้องทำบล็อกพิมพ์แยกแต่ละสี ถ้าทำผิดเพียงเล็กน้อยก็ต้องทิ้งทั้งบล็อก ต้องล้างบล็อคด้วยน้ำยา ซึ่งเป็นขยะที่ไม่สามารถนำไปรีไซเคิลได้ แต่ DTF ไม่ต้องใช้บล็อก ไม่ต้องเตรียมสีแยกแต่ละเลเยอร์ เพียงแค่มีไฟล์ภาพที่พร้อมพิมพ์ ก็สามารถผลิตงานพิมพ์ระบบดิจิตอลได้ทันที ทำให้ลดขยะพลาสติกและเคมีจากกระบวนการเก่าลงได้อย่างมาก (ลดขั้นตอนน้ำยาต่างๆ ที่ใช้ในการทำบล็อก ฉายแสงได้)
2. ใช้ทรัพยากรน้ำต่ำมาก
การสกรีนเสื้อแบบเดิมและการย้อมผ้ามักใช้น้ำจำนวนมากในการล้างบล็อก ล้างสี หรือฟอกย้อม แน่นอนว่าต้องใช้สารเคมีในการลบ ซึ่งทำให้น้ำที่ใช้แล้วจะต้องปนเปื้อนสารเคมีอย่างแน่นอน ซึ่งมีผลกระทบต่อระบบนิเวศน้ำ เพราะบ่อยครั้งสารเคมีจะไหลลงสู่แม่น้ำลำคลอง แต่ DTF ไม่ใช้ระบบล้าง ไม่ใช้น้ำเลยในกระบวนการผลิต (ยกเว้นการดูแลทำความสะอาดหัวพิมพ์ที่ใช้น้ำเล็กน้อย) ทำให้ลดการใช้น้ำและลดน้ำเสียที่โดนสารเคมีผสมลงไปได้มาก
3. พิมพ์เฉพาะเมื่อมีออเดอร์ ลดของเสียจากสินค้าเหลือทิ้ง
DTF รองรับการพิมพ์แบบ On Demand หรือที่เรียกว่า “พิมพ์ตามสั่ง” ได้ยอดเท่าไรก็สกรีนเสื้อเท่านั้น ซึ่งช่วยลดปัญหา Overproduction (การผลิตสินค้าล้นตลาดแล้วขายไม่หมดจนต้องทิ้ง) แบรนด์เสื้อผ้าหลายรายเลือกใช้ DTF ในการพิมพ์เสื้อรุ่นพิเศษ เพราะสามารถพิมพ์ลายเสื้อตามจำนวนออเดอร์จริง และลวดลายจะเหมือนเดิมทุกตัว สามารถลดขนาดสกรีนให้เข้ากับขนาดไซส์เสื้อได้โดยไม่ส่งผลกระทบต่อภาพ ส่งผลให้ไม่มีสินค้าค้างสต็อก และไม่มีเสื้อผ้าที่ถูกผลิตเกินแล้วต้องกลายเป็นขยะในที่สุด

ถึงอย่างนั้นการพิมพ์เสื้อด้วยระบบ DTF ก็ยังไม่ถึงขั้นรักษ์โลก 100 เปอร์เซ็นต์ แต่การพิมพ์ระบบ DTF ช่วยลดของเสียในขั้นตอนการสกรีนต่างๆ ได้อย่างแน่นอน
ทำไมถึงยังไม่ 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะว่า
1. หมึก DTF ยังเป็นเคมี
หมึกที่ใช้ในระบบ DTF ส่วนใหญ่เป็น หมึก Water-based Pigment ซึ่งมีข้อดีคือ ไม่มีสาร VOCs (Volatile Organic Compounds) มากเท่ากับหมึก Solvent แต่ในทางกลับกัน ยังมีเคมีบางชนิด ที่ต้องใช้ตัวทำละลายและสารช่วยยึดเกาะ ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหากไม่มีการจัดการของเสียที่เหมาะสม แต่ไม่ต้องห่วง ร้าน Screen168 ทำระบบที่ดีตั้งแต่ตัวเครื่อง ท่อ โดยมีวิศวะคอยคุมการทำงาน
2. แผ่นฟิล์ม DTF ยังเป็นพลาสติก
แผ่นฟิล์มที่ใช้พิมพ์ DTF เป็นพลาสติกประเภท PET (Polyethylene Terephthalate) แม้จะมีความทนทานและสามารถนำกลับมาใช้ซ้ำในบางกรณี แต่ในกระบวนการพิมพ์ปกติ พอพิมพ์งานเสร็จจะต้องตัดแผ่นฟิล์ม โดยส่วนที่เหลือจากการตัดนั้นล้วนเป็นขยะหลังใช้งานเสร็จ บางโรงงานอาจพยายามนำกลับไปรีไซเคิล แต่กระบวนการแยกและรีไซเคิล PET ฟิล์มยังไม่แพร่หลายนักในระบบอุตสาหกรรมทั่วไป
3. ผงกาว DTF ส่วนใหญ่ทำจากโพลียูรีเทน (Polyurethane)
ผงกาว DTF ที่ช่วยให้หมึกติดกับผ้าในขั้นตอนการสกรีนเสื้อ ส่วนใหญ่มีส่วนประกอบหลักคือ PU ซึ่งสารนี้ไม่สามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ ต้องใช้เวลาหลายร้อยปีในการย่อยสลายซึ่งถือว่าใช้เวลาค่อนข้างนาน แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่มีทางเลือกที่เป็นวัสดุ “Biodegradable” 100% ที่ตอบโจทย์ตลาดในเวลานี้ ทว่าในอนาคตคงมีขั้นตอนการผลิตที่ช่วยยกระดับการรักโลกได้มากขึ้น
สรุปแล้วจะเห็นได้ว่า แม้จะยังมีข้อจำกัด แต่เทคโนโลยีสกรีนเสื้อ DTF กำลังพัฒนาให้ใกล้เคียง “Green Technology” มากขึ้น
บริษัทบางแห่ง เริ่มวิจัยหมึกพิมพ์ที่ผลิตจากวัตถุดิบธรรมชาติ เพื่อลดสารเคมีอันตรายลง ลดการปล่อยสารพิษลงสู่สิ่งแวดล้อม แผ่นฟิล์มที่รีไซเคิลได้ง่ายขึ้น บางแบรนด์กำลังพัฒนาแผ่นฟิล์ม DTF ที่ผลิตจากพลาสติกรีไซเคิล 100% หรือที่ย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ ซึ่งในอนาคตจะช่วยลดขยะพลาสติกลงได้มากในขั้นตอนการสกรีนเสื้อ
ระบบการจัดการขยะและของเสียที่เป็นมาตรฐานก็ล้วนสำคัญต่อขั้นตอนการรักโลก ธุรกิจที่ใช้ DTF ควรมีระบบแยกขยะ พลาสติก และของเสียที่เป็นเคมี เพื่อส่งต่อไปยังโรงงานรีไซเคิลอย่างถูกต้อง ซึ่งจะช่วยลดภาระสิ่งแวดล้อมในระยะยาวได้จริง
DTF ทางเลือกใหม่ของแบรนด์เสื้อผ้ายั่งยืน (Sustainable Fashion) แม้ว่า DTF ยังไม่ใช่ระบบพิมพ์ที่ “Zero Waste” หรือไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเลย แต่สำหรับแบรนด์เสื้อผ้าที่ต้องการก้าวเข้าสู่ตลาด Sustainable Fashion DTF ถือว่าระบบ DTF คือทางเลือกที่คุ้มค่าและตอบโจทย์ เนื่องจากช่วยลดการผลิตเกินความจำเป็น ลดการใช้น้ำและสารเคมีรุนแรง เพิ่มความยืดหยุ่นและรองรับการผลิตเฉพาะบุคคล (Customization) เพราะผู้บริโภคยุคใหม่ต้องการเสื้อผ้าที่ไม่เพียงแค่ “สวย” แต่ยัง “สะอาดต่อโลก”
การเลือกเทคโนโลยีที่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม จึงเป็นการลงทุนในอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับธุรกิจแฟชั่นทุกประเภท
การสกรีนเสื้อ DTF อาจไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของการพิมพ์ที่รักษ์โลก 100% แต่ถือเป็นก้าวสำคัญที่ดีกว่าเทคโนโลยีเก่าในหลายด้าน เพราะอย่างน้อยก็ช่วยลดขั้นตอนสารเคมีได้ ถ้าผู้ประกอบการรู้จักเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ดูแลกระบวนการผลิตให้สะอาด และใส่ใจระบบจัดการของเสีย DTF ก็สามารถเป็นตัวช่วยที่ดีในยุคที่ทั้งโลกกำลังขยับเข้าสู่แนวทาง Green Production