ในโลกของการสร้างสรรค์ลายสกรีนเสื้ออันเป็นเอกลักษณ์ ห้องสกรีนคือพื้นที่แห่งจินตนาการที่ได้สรรสร้างลวดลายบนตัวเสื้อ แต่เบื้องหลังความสวยงามของลวดลายและสีสัน อาจมี “ภัยเงียบ” ที่แฝงตัวอยู่
ภัยเงียบคืออะไร ในร้านสกรีนเสื้อ หรือพื้นที่พิมพ์ลายผ้าทุกชนิด สิ่งที่คนทำงานเจอเป็นประจำคือ “เสียงดังจากเครื่องจักร” “กลิ่นเคมีจากน้ำยา” และ “ฝุ่นสีจากหมึกหรือผงพิมพ์” ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นปัจจัยที่อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว หากไม่รู้วิธีป้องกันที่เหมาะสม
บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับอันตรายเหล่านี้และวิธีป้องกันตัวเองในห้องสกรีนเสื้ออย่างถูกต้อง ครบถ้วน พร้อมคำแนะนำที่เน้นใช้งานได้จริง ทำให้ร้านเป็นพื้นที่ปลอดภัย และส่งเสริมสุขภาพการทำงานที่ดีในระยะยาว เพื่อให้ช่างสกรีนทำงานได้อย่างปลอดภัยและสร้างสรรค์ผลงานได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องกังวลเรื่องสุขภาพ
ภัยเงียบที่มองข้ามไม่ได้ในห้องสกรีน
ก่อนที่เราจะไปดูวิธีป้องกัน ลองทำความเข้าใจก่อนว่า “ภัยเงียบ” เหล่านี้ส่งผลกระทบต่อร่างกายเราได้อย่างไรบ้าง

1. เสียงดัง (Noise Hazards) :
เครื่องจักรต่างๆ ในห้องสกรีน ล้วนก่อให้เกิดเสียงดังในระดับที่แตกต่างกันไป เสียงในห้องสกรีนส่วนใหญ่มาจากเครื่องพิมพ์ระบบ DTF, เครื่องอัดบล็อก, เครื่องรีดร้อน และเครื่องเป่าลม ซึ่งบางรุ่นสามารถสร้างเสียงดังเกิน 80 เดซิเบลหรือมากกว่านี้ได้ หากต้องเผชิญกับเสียงดังเกินลักษณะนี้ทุกวัน อาจทำให้เกิดอาการ “หูตึงเรื้อรัง” หรือ “สูญเสียการได้ยินอย่างช้าๆ” ได้ และอาจนำไปสู่ภัยอันตรายของร่างกายได้ในที่สุด
หูตึงถาวร : เป็นความเสียหายที่สะสมจากการทำลายเซลล์ขนในหูชั้นใน
อาการหูอื้อ/เสียงในหู : รู้สึกเหมือนมีเสียงหึ่งๆ หรือเสียงดังในหูตลอดเวลา
ความเครียดและอ่อนเพลีย : เสียงดังรบกวนสมาธิและนำไปสู่ความเครียดสะสมได้
ปัญหาการสื่อสาร : ทำให้การได้ยินและการสื่อสารกับเพื่อนร่วมงานเป็นไปได้ยาก ขัดข้องและเข้าใจในเนื้องานผิดได้

2. กลิ่นสารเคมี (Chemical Fumes/Vapors) :
หมึกพิมพ์สี ตัวทำละลาย น้ำยาล้างบล็อก น้ำยาขจัดคราบ และสารเคมีอื่นๆ ที่ใช้ในกระบวนการสกรีนเสื้อ กลิ่นน้ำยาเคมีต่าง ๆ เช่น น้ำยารีดร้อน (hotmelt), น้ำยาทำความสะอาดหัวพิมพ์, หมึกพิมพ์ DTF, และผงกาวมักมีสารระเหยที่อาจส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจ เช่น กลุ่มสาร VOCs ซึ่งหากสูดดมนานวันเข้า อาจทำให้ร่างกายเกิดอาการเวียนหัว ปวดศีรษะ หรือระคายเคืองระบบหายใจเรื้อรัง
ระคายเคืองทางเดินหายใจ : แสบจมูก ไอ รู้สึกเจ็บคอ หายใจลำบาก
อาการแพ้ : ผื่นคัน ผิวหนังอักเสบ ตาแดง น้ำตาไหลได้
ปัญหาระบบประสาท : เวียนศีรษะ คลื่นไส้ ปวดศีรษะ หรืออาจถึงขั้นหมดสติ (ในกรณีที่รุนแรง)
ความเสียหายต่ออวัยวะภายใน : บางสารเคมีอาจส่งผลกระทบต่อตับ ไต หรือระบบสืบพันธุ์ได้หากได้รับสะสมในระยะยาว
3. ฝุ่นสีและอนุภาคเล็กๆ (Color Dust & Particulates) :
ไม่ว่าจะเป็นฝุ่นจากหมึกแห้ง ผงกาว หรืออนุภาคเล็กๆ จากผ้าและกระบวนการสกรีน อาจลอยฟุ้งอยู่ในอากาศและสามารถสูดดมเข้าไปได้อย่างแน่นอน ฝุ่นสีและผงกาวที่ใช้ในระบบ DTF แม้จะดูเหมือนปลอดภัย แต่ถ้าอนุภาคมีขนาดเล็ก (ต่ำกว่า PM10) และฟุ้งในอากาศ อาจเข้าสู่ปอดและสะสมในร่างกายในระยะยาวได้ โดยเฉพาะผงกาวรีดร้อนที่มีสารเคมีสังเคราะห์เจือปน หากสัมผัสบ่อยโดยไม่ป้องกัน อาจทำให้เกิดผื่นคัน หรือภูมิแพ้ในระยะยาวได้
ระคายเคืองระบบทางเดินหายใจ : ไอ จาม มีเสมหะ
ภูมิแพ้และหอบหืด : กระตุ้นอาการภูมิแพ้หรือทำให้ผู้ป่วยหอบหืดมีอาการแย่ลง
โรคปอด : การสะสมของฝุ่นในปอดเป็นเวลานาน อาจนำไปสู่โรคปอดเรื้อรัง เช่น โรคปอดอักเสบจากฝุ่น (Pneumoconiosis) ในระยะยาว
การป้องกันอันตรายในห้องสกรีน
ต้องอาศัยการผสมผสานหลายมาตรการ ทั้งการปรับปรุงสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม การใช้และเก็บอุปกรณ์ รวมถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของช่างสกรีน

1. การระบายอากาศ (Ventilation) คือหัวใจสำคัญ
นี่คือสิ่งสำคัญที่สุดในการลดความเข้มข้นของสารเคมีและฝุ่นละอองในอากาศ
อันดับแรกควรติดระบบดูดอากาศเฉพาะจุด (Local Exhaust Ventilation – LEV ) : ติดตั้งระบบดูดอากาศเหนือบริเวณที่มีการใช้สารเคมีหรือเกิดฝุ่น เช่น จุดผสมหมึก ล้างบล็อก หรือเครื่องอบ เพื่อดูดอากาศเสียออกไปโดยตรงก่อนที่จะฟุ้งกระจายไปทั่วห้องและบริเวณที่สกรีน
การระบายอากาศทั่วไป (General Ventilation) : ควรมีพัดลมดูดอากาศขนาดใหญ่ หรือระบบปรับอากาศที่หมุนเวียนอากาศได้ดี เพื่อนำอากาศบริสุทธิ์จากภายนอกเข้ามาหมุนเวียนในห้องอย่างสม่ำเสมอ
เปิดประตูหน้าต่าง : หากห้องสกรีนสามารถเปิดหน้าต่างหรือประตูได้ ควรเปิดทิ้งไว้เพื่อเพิ่มการถ่ายเทอากาศเมื่อไม่มีฝุ่นภายนอกมากนัก
2. อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (Personal Protective Equipment – PPE)
PPE เป็นด่านสุดท้ายแต่สำคัญมากในการปกป้องร่างกาย อุปกรณ์ป้องกันควรป้องกันร่างกายตามนี้
อุปกรณ์ป้องกันระบบหายใจ
หน้ากากกรองสารเคมี (Respirator with Chemical Cartridges) : สำหรับการทำงานที่มีกลิ่นสารเคมีรุนแรง เช่น การล้างบล็อก การผสมหมึก หรือการใช้ตัวทำละลาย ควรใช้หน้ากากที่สามารถกรองไอระเหยสารอินทรีย์ (organic vapor) ได้ หน้ากากแบบนี้จะมีไส้กรองเฉพาะที่ช่วยดูดซับสารเคมี สวมหน้ากากกรองกลิ่น เช่น หน้ากากคาร์บอน (Activated Carbon Mask) หรือหน้ากากกรอง VOC โดยเฉพาะ ไม่ควรใช้หน้ากากอนามัยธรรมดาเพราะกรองสารเคมีไม่ได้
หน้ากากกันฝุ่น (Dust Mask/N95) : สำหรับการทำงานที่มีฝุ่นละออง ควรใช้หน้ากาก N95 หรือหน้ากากกันฝุ่นที่มีประสิทธิภาพในการกรองอนุภาคขนาดเล็ก
เปิดพัดลมดูดอากาศออกนอกห้อง หรือใช้พัดลมฟอกอากาศแบบมีแผ่นกรอง HEPA และคาร์บอนร่วมด้วย
จัดระเบียบการทำงาน เช่น เทน้ำยาหรือเปิดฝาหมึกในบริเวณที่มีพัดลมดูดอากาศโดยตรง เพื่อให้ดูดสารระเหยออกไปก่อน
ใช้เครื่องกรองฝุ่นแบบ HEPA ที่ดูดฝุ่น PM2.5 ได้จริง และเปิดใช้งานระหว่างพิมพ์งานทุกครั้ง อย่าลืมเปิดโดยเด็ดขาด
สวมหน้ากาก N95 เมื่อทำงานกับผงกาว หลีกเลี่ยงการใช้หน้ากากอนามัยทั่วไปซึ่งกันฝุ่นละเอียดไม่ได้
อุปกรณ์ป้องกันดวงตา
แว่นตานิรภัย (Safety Goggles/Glasses) : สวมใส่ตลอดเวลาในห้องสกรีน เพื่อป้องกันสารเคมีกระเด็นเข้าตา หรือหมึกและฝุ่นเข้าตา
อุปกรณ์ป้องกันหู
ที่อุดหู (Earplugs) หรือ ที่ครอบหู (Earmuffs): สำหรับพื้นที่ที่มีเสียงดังเกิน 85 เดซิเบล ควรเลือกใช้ให้เหมาะสมกับการลดเสียงรบกวน
ใช้ที่อุดหูแบบอุตสาหกรรม เช่น Earplug หรือ Earmuff คุณภาพสูง การใส่ที่อุดหูลักษณะนี้ สามารถลดเสียงได้ 20-35 dB
จัดตำแหน่งเครื่องจักรให้ห่างจากจุดนั่งทำงาน อย่างน้อย 2-3 เมตร และใช้วัสดุกันเสียงติดผนังหรือฝ้า อย่านั่งทำงานใกล้เครื่องจักรมากเกินไป
ใช้พัดลมอุตสาหกรรมเงียบ หรือเลือกเครื่องจักรที่ระบุค่าความดังเสียงในคู่มือเสมอ จะได้ตรวจสอบระดับเสียงดังได้
เคล็ดลับ : หมั่นสังเกตว่า หากคุณได้ยินเสียง “หึ่งๆ” หรือ “เสียงรอบข้างอู้อี้” หลังเลิกงาน นั่นแปลว่าหูของคุณเริ่มอ่อนล้าจากเสียงแล้ว ควรใช้ที่อุดหูในวันถัดไปทันที
อุปกรณ์ป้องกันผิวหนัง
ถุงมือ : สวมถุงมือที่ทนทานต่อสารเคมี เช่น ถุงมือยางไนไตรล์ (Nitrile) เพื่อป้องกันการสัมผัสสารเคมีโดยตรง
เสื้อผ้าป้องกัน : สวมเสื้อผ้าแขนยาวขายาว หรือผ้ากันเปื้อน เพื่อลดการสัมผัสสารเคมีและสิ่งสกปรกโดยตรงกับผิวหนัง เสื้อนอกจากแขนยาวแล้วควรเน้นแผ้าระบายอากาศได้ดี ไม่บางเกินไป รองเท้าหุ้มส้น (เพื่อกันผงสารเคมีหรือหมึกหกใส่เท้า)
ล้างมือให้สะอาดทันทีหลังสัมผัสผงกาวหรือหมึก และหลีกเลี่ยงการขยี้ตาหรือจับหน้าโดยตรงเวลาทำงาน
หากมีอาการไอ จาม หรือระคายเคืองตาบ่อยครั้ง ควรเช็กระดับฝุ่นในพื้นที่ด้วยเครื่องวัดคุณภาพอากาศ เช่น PM2.5 Monitor
3. การจัดการสารเคมีอย่างปลอดภัย :
จัดเก็บอย่างเป็นระเบียบ : เก็บสารเคมีในภาชนะที่ปิดมิดชิด มีฉลากระบุชัดเจน และแยกประเภทตามความเหมาะสม ห่างจากแหล่งความร้อนหรือประกายไฟ อย่าลืมเก็บน้ำยาและสารเคมีไว้ในตู้เฉพาะ หรือภาชนะที่ปิดสนิททุกครั้งหลังใช้งาน เพื่อลดการระเหยในอากาศระหว่างวัน
อ่านฉลากและ SDS (Safety Data Sheet) : ทำความเข้าใจข้อมูลความปลอดภัยของสารเคมีแต่ละชนิด รวมถึงวิธีใช้งาน การปฐมพยาบาลเบื้องต้น และการกำจัดของที่ใช้แล้ว
ใช้เท่าที่จำเป็น : ใช้สารเคมีในปริมาณที่เหมาะสม ไม่มากเกินไป เพื่อลดการระเหยและปริมาณของเสียที่เกิดขึ้นระหว่างทำงาน
การกำจัดของเสีย : กำจัดสารเคมีและวัสดุที่ปนเปื้อนตามข้อกำหนดและกฎหมาย เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ

4. สุขอนามัยส่วนบุคคล:
ล้างมือให้สะอาด : ล้างมือด้วยสบู่และน้ำทุกครั้งหลังสัมผัสสารเคมี และก่อนรับประทานอาหาร
ห้ามรับประทานอาหารและเครื่องดื่มในห้องสกรีน : เพื่อป้องกันการปนเปื้อนของสารเคมี หรือพวกละอองในอากาศตกใส่อาหาร
ทำความสะอาดร่างกาย : อาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าทันทีหลังเลิกงาน เพื่อชำระล้างสารเคมีและฝุ่นออกจากร่างกายและป้องกันการนำพาสารพิษกลับบ้าน
5. การจัดระเบียบและทำความสะอาดห้องสกรีน :
จัดเก็บให้เป็นระเบียบ : จัดวางอุปกรณ์และสารเคมีให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ลดความยุ่งเหยิงและอันตรายจากการสะดุดล้มหรือทำสารเคมีหกกระจายได้

ทำความสะอาดเป็นประจำ : ทำความสะอาดพื้นที่ทำงาน เครื่องจักร และพื้นผิวต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดการสะสมของฝุ่นและคราบสารเคมี
ดูแลหัวพิมพ์และเครื่อง DTF : สำหรับเครื่องพิมพ์ DTF โดยเฉพาะ การดูแลหัวพิมพ์ให้สะอาดและไม่เกิดการอุดตันเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะหากหัวพิมพ์มีปัญหา จะส่งผลให้คุณภาพงานสกรีนออกมาไม่ดี (ลายขาด, สีเพี้ยน) และทำให้เสียเวลา เสียวัสดุไปโดยเปล่าประโยชน์ ทำให้ช่างต้องทำงานเพิ่ม และใช้สารเคมีเพิ่มในระหว่างทำงาน การทำความสะอาดหัวพิมพ์ตามคู่มือของเครื่องเป็นประจำจะช่วยยืดอายุการใช้งานและรักษาคุณภาพงานพิมพ์
การทำงานในห้องสกรีนเสื้อจำเป็นต้องมีการป้องกันอันตรายจากเสียง กลิ่นเคมี และฝุ่นสีอย่างจริงจัง การละเลยอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพระยะยาวที่ยากจะแก้ไข

ทั้งการลงทุนในระบบระบายอากาศที่ดี การจัดหาอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลที่เหมาะสม และการฝึกอบรมพนักงานให้มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องความปลอดภัย คือการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดสำหรับทั้งสุขภาพของพนักงานและอนาคตของธุรกิจ
อย่าลืมว่าสุขภาพของช่างสกรีนที่ดีคือหัวใจสำคัญที่จะช่วยให้สร้างสรรค์ผลงานคุณภาพได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน
แม้การสกรีนเสื้อหรือพิมพ์ลายจะเป็นงานสร้างสรรค์ที่ดูปลอดภัย คนส่วนมากจะไม่รู้ข้อเสียและอันตรายต่างๆ หากละเลยเรื่องเสียงดัง กลิ่นเคมี และฝุ่นสี อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาวอย่างรุนแรงได้ การลงทุนในอุปกรณ์ป้องกันที่เหมาะสม เช่น หน้ากากกรอง VOC เครื่องฟอกอากาศ หรือที่อุดหู ไม่ได้เป็นเพียงการปกป้องตัวเองวันนี้ แต่คือการยืดอายุการทำงานให้ปลอดภัยยาวนานยิ่งขึ้น