จบทุกปัญหา เจาะลึกงานสกรีนเฟล็กซ์ (Flex) พร้อมวิธีแก้ไขที่มือใหม่ก็ทำตามได้

การสกรีนเฟล็กซ์ หรือการรีดร้อนด้วยวัสดุ Flex/Flock เป็นหนึ่งในเทคนิคการทำลวดลายบนเสื้อที่ได้รับความนิยมสูงโดยเฉพาะงานชื่อ-เบอร์นักกีฬา, โลโก้องค์กร, งานแฟชั่นที่ต้องการความโดดเด่น ตัวอักษรคมชัด หรือสีพื้นทึบ และงานผลิตจำนวนน้อยที่ต้องการความรวดเร็ว ด้วยจุดเด่นด้านความทนทาน อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการหลายท่าน มักจะเจอกับปัญหาสกรีนเฟล็กซ์ที่ทำให้งานเสีย ไม่สวยงาม และสิ้นเปลืองวัสดุโดยใช่เหตุ

บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจทุกปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในกระบวนการทำสกรีนเฟล็กซ์ ตั้งแต่ขั้นตอนการตัดไปจนถึงการดูแลรักษา พร้อมสาเหตุและวิธีแก้ไขอย่างละเอียด เพื่อให้คุณสร้างสรรค์ผลงานได้อย่างมืออาชีพ คมชัด ติดทน และดูดีทุกชิ้นงาน

หัวใจของงานเฟล็กซ์: “สามเหลี่ยมทองคำ” ที่ต้องควบคุม

ก่อนจะไปดูปัญหาแต่ละข้อ ต้องเข้าใจก่อนว่าคุณภาพของงานรีดเฟล็กซ์นั้นขึ้นอยู่กับความสมดุลของ 3 ปัจจัยหลัก ที่เราเรียกว่า “สามเหลี่ยมทองคำ” (The Golden Triangle) ได้แก่:

อุณหภูมิ (Temperature): ความร้อนที่เหมาะสมในการละลายกาวด้านหลังของเฟล็กซ์ให้ยึดติดกับเนื้อผ้า

เวลา (Time): ระยะเวลาที่ใช้ในการให้ความร้อน ต้องนานพอให้กาวยึดติด แต่ไม่นานไปจนวัสดุเสียหาย

แรงกด (Pressure): แรงกดจากเครื่องรีดร้อน (Heat Press) ที่สม่ำเสมอ เพื่อให้ความร้อนถ่ายเทได้ทั่วถึงและทำให้เฟล็กซ์แนบสนิทไปกับเส้นใยผ้า

หากสามสิ่งนี้ไม่สมดุลกัน ปัญหาย่อมเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

ปัญหาที่มักจะเจอมีดังนี้

1. ปัญหาในขั้นตอน “การตัด”: ตัดไม่ขาด ขอบไม่คม ดึงเศษยาก

จุดเริ่มต้นของงานเฟล็กซ์คือการตัด ปัญหาในขั้นตอนนี้จะส่งผลต่องานทั้งหมด เช่น ตัด Flex แล้วลอกยาก หรือขาดเป็นเส้น

สาเหตุ:

ใบมีดทื่อหรือไม่เหมาะสม: ใบมีดที่ใช้งานมานานจนหมดความคม หรือใช้ใบมีดผิดองศากับความหนาของเฟล็กซ์

ตั้งค่าเครื่องตัดไม่ถูกต้อง: ตั้งค่าแรงกดของใบมีด (Force) หรือความเร็ว (Speed) ไม่เหมาะสมกับชนิดของเฟล็กซ์

การออกแบบซับซ้อนเกินไป: ลวดลายมีขนาดเล็ก มีเส้นที่บาง หรือมีมุมแหลมมากเกินไป ทำให้เครื่องตัดทำงานได้ไม่สมบูรณ์

Flex หนาเกินกว่าค่ามาตรฐานของเครื่อง

ลืมกลับด้านลาย (Mirror): ปัญหาคลาสสิกของมือใหม่ ทำให้ลายที่รีดออกมากลับด้าน

วิธีแก้ไข:

หมั่นตรวจสอบใบมีด: เปลี่ยนใบมีดทันทีเมื่อรู้สึกว่าตัดไม่เข้า หรืออย่างน้อยควรมีใบมีดสำรองไว้เสมอ สำหรับเฟล็กซ์มาตรฐานมักใช้ใบมีด 45 องศา แต่ถ้าเป็นเฟล็กซ์หนาๆ เช่น เฟล็กซ์กำมะหยี่ (Flock) หรือเฟล็กซ์สะท้อนแสง อาจต้องใช้ใบมีด 60 องศา

ทำการทดสอบตัด (Test Cut) ทุกครั้ง: ก่อนตัดงานจริง ควรใช้ฟังก์ชัน Test Cut ของเครื่องตัด เพื่อหาค่าแรงกดที่เหมาะสมที่สุด ซึ่งคือค่าที่ “ตัดทะลุแค่ชั้นเนื้อเฟล็กซ์ แต่ไม่ทะลุแผ่นฟิล์มใส”

ปรับแรงกด (force) ให้อยู่ในค่าที่ตัดทะลุเฉพาะชั้นบนโดยไม่ทะลุกาว

ลดความเร็ว (speed) เหลือประมาณ 10–15 cm/s สำหรับรายละเอียดเล็ก

ปรับแก้ดีไซน์: หากเจอปัญหาดึงเศษยาก (Weeding) ลองเพิ่มความหนาของเส้นในดีไซน์ หรือลดความซับซ้อนของลายลง

สร้างเช็กลิสต์: ทำป้ายเตือนใจติดไว้ที่เครื่องตัดว่า “กลับด้านลาย (Mirror) แล้วหรือยัง?”

2. ปัญหาในขั้นตอน “การรีดร้อน”: เฟล็กซ์ไม่ติด ลอก ย่น

นี่คือขั้นตอนที่เกิดปัญหาได้บ่อยและหลากหลายที่สุด

ปัญหาที่ 2.1: เฟล็กซ์ไม่ติดเสื้อ หรือติดเป็นบางส่วน หลุดลอกหลังรีด หรือหลุดหลังซัก

สาเหตุ:

อุณหภูมิต่ำเกินไป: ความร้อนไม่เพียงพอที่จะละลายกาวด้านหลังเฟล็กซ์

เวลาในการรีดสั้นเกินไป: กาวยังไม่ทันได้เซ็ตตัวและยึดเกาะกับเส้นใยผ้า ไม่ได้กดน้ำหนักเพียงพอขณะรีด

แรงกดไม่เพียงพอ: ความร้อนส่งผ่านได้ไม่ดี และเฟล็กซ์ไม่สัมผัสกับผ้าอย่างเต็มที่

ผ้ามีสารเคลือบ: ผ้าบางชนิด เช่น ผ้าร่ม หรือผ้ากีฬาบางรุ่น มีการเคลือบสารกันน้ำ ทำให้กาวไม่สามารถยึดเกาะได้ ผ้าเปื้อนฝุ่นหรือความมันก่อนรีด

รีดทับตะเข็บหรือกระดุม: ทำให้แรงกดบนพื้นที่ทำงานไม่สม่ำเสมอ

Flex คุณภาพต่ำ หรือหมดอายุ

วิธีแก้ไข:

ตรวจสอบสเปคของเฟล็กซ์: เฟล็กซ์แต่ละชนิด แต่ละยี่ห้อ ใช้ “อุณหภูมิ-เวลา-แรงกด” ไม่เท่ากัน! ควรยึดตามคำแนะนำของผู้ผลิตเป็นหลัก (เช่น เฟล็กซ์ PU ทั่วไป: 150-160°C, 10-15 วินาที / เฟล็กซ์กำมะหยี่: 160-170°C, 15-20 วินาที)

รีดไล่ความชื้นก่อน (Pre-press): ทำความสะอาดผ้าก่อนรีดด้วยลูกกลิ้งกาว นำเสื้อเปล่ามารีดด้วยเครื่อง Heat Press ประมาณ 5-7 วินาทีก่อนวางเฟล็กซ์ เพื่อไล่ความชื้นและทำให้ผิวผ้าเรียบ

เพิ่มแรงกด: ปรับแรงกดของเครื่องรีดร้อนให้แน่นขึ้น (Firm Pressure)

ใช้แผ่นรองรีด (Teflon Pillow): หากต้องรีดใกล้ตะเข็บหรือซิป การใช้แผ่นรองรีดจะช่วยหนุนให้พื้นที่ทำงานหลักได้รับแรงกดที่สม่ำเสมอ

เลือกใช้ Flex แบรนด์ดีที่มีการรับประกันคุณภาพ

ปัญหาที่ 2.2: เฟล็กซ์ย่น เป็นรอย หรือหดตัว

สาเหตุ:

อุณหภูมิสูงเกินไป: ความร้อนที่มากเกินไปทำให้เนื้อเฟล็กซ์และกาวละลายเสียรูป

ผ้าหดตัว: โดยเฉพาะผ้าคอตตอน เมื่อเจอความร้อนสูงจะเกิดการหดตัว ทำให้เฟล็กซ์ที่ติดอยู่บนผ้าย่นตามไปด้วย ความร้อนสูงเกินไปสำหรับเนื้อผ้านั้น ใช้ Flex กับผ้าประเภทที่ไม่เหมาะสม เช่น ผ้ายืดสูง

วิธีแก้ไข:

ลดอุณหภูมิ: ตั้งค่าอุณหภูมิตามสเปคที่แนะนำ อย่าใช้ความร้อนสูงเกินความจำเป็น

การรีดไล่ความชื้น (Pre-press) สำคัญมาก: การรีดไล่ความชื้นก่อนจะช่วยให้ผ้า “หดตัวล่วงหน้า” ไปก่อนแล้ว ทำให้เมื่อรีดจริงพร้อมเฟล็กซ์ ผ้าจะหดตัวน้อยลงมาก รีดผ้าเปล่าก่อน 5–10 วินาทีเพื่อให้ผ้าคลายตัวก่อนสกรีน

ใช้ Flex ที่มีความยืดหยุ่นสูง (Stretchable Flex) สำหรับผ้ายืด เช่น ผ้า Spandex

ควบคุมอุณหภูมิไม่เกิน 150–160°C และอย่ารีดนานเกินไป

ปัญหาที่ 3: สีผ้าซึมขึ้นมาบนเฟล็กซ์ (Dye Migration)

ปัญหานี้มักเกิดเมื่อรีดเฟล็กซ์สีอ่อน (โดยเฉพาะสีขาว) ลงบนผ้าโพลีเอสเตอร์สีสด (เช่น เสื้อกีฬา สีแดง, น้ำเงิน) ทำให้เฟล็กซ์กลายเป็นสีชมพูหรือฟ้าอ่อนๆ

สาเหตุ:

สีย้อมในเส้นใยโพลีเอสเตอร์บางชนิดไม่เสถียร เมื่อเจอกับความร้อนสูง สีย้อมจะระเหิด (กลายเป็นแก๊ส) และซึมเข้าไปในเนื้อเฟล็กซ์ ทำให้สีเฟล็กซ์เพี้ยนไป

วิธีแก้ไข:

ใช้อุณหภูมิต่ำที่สุดเท่าที่ทำได้: ลดอุณหภูมิและเพิ่มเวลาในการรีดแทน เพื่อลดการระเหิดของสี

ใช้ “เฟล็กซ์กันสีระเหิด” (Subli-Block / Anti-Sublimation Flex): เฟล็กซ์ชนิดนี้จะมีชั้นคาร์บอนหรือชั้นฟิล์มพิเศษกั้นอยู่ตรงกลาง ช่วยป้องกันไม่ให้สีย้อมจากผ้าซึมขึ้นมาได้ เหมาะสำหรับงานเสื้อกีฬาโดยเฉพาะ

3. ปัญหาในขั้นตอน “การลอกและการดูแล”: ลอกแล้วหลุด ซักแล้วพัง

สี Flex ซีด หรือสีเฟดหลังซักไม่กี่ครั้ง งานอาจจะดูดีหลังรีดเสร็จ แต่ปัญหาอาจตามมาทีหลังได้

สาเหตุ:

ลอกผิดประเภท (ลอกร้อน vs ลอกเย็น): เฟล็กซ์มี 2 ประเภทหลัก คือ Hot Peel (ลอกแผ่นฟิล์มออกตอนร้อนๆ ทันทีหลังรีดเสร็จ) และ Cold Peel (ต้องรอให้เย็นสนิทก่อนจึงลอกได้) การลอกผิดวิธีจะทำให้เฟล็กซ์หลุดติดมากับแผ่นฟิล์ม

ใช้ Flex คุณภาพต่ำ หรือไม่ได้ออกแบบมาสำหรับซักบ่อย

การรีดร้อนยังไม่สมบูรณ์: กลับไปที่สาเหตุในข้อ 2 คือ อุณหภูมิ เวลา และแรงกด ยังไม่ได้ที่ รีดความร้อนไม่พอทำให้กาวละลายไม่เต็ม

การดูแลรักษาผิดวิธี: ผู้ใช้งานนำไปซักด้วยน้ำร้อน, ปั่นเครื่องรุนแรง, ใช้น้ำยาฟอกขาว หรือรีดทับลายโดยตรง

วิธีแก้ไข:

เช็คสเปคก่อนลอก!: ต้องรู้เสมอว่าเฟล็กซ์ที่ใช้เป็นแบบ “ลอกร้อน” หรือ “ลอกเย็น” เลือก Flex ที่มีมาตรฐานทดสอบการซัก เช่น ซักได้ 30–50 ครั้งโดยไม่ซีด

ให้คำแนะนำในการดูแลรักษาแก่ลูกค้า:

ควรกลับด้านในออกก่อนซัก ซักด้วยน้ำอุณหภูมิปกติหรือน้ำเย็น หลีกเลี่ยงการใช้น้ำร้อนหรืออบแห้งที่อุณหภูมิสูงเกิน 60°C

หลีกเลี่ยงน้ำยาฟอกขาวและน้ำยาปรับผ้านุ่ม ไม่ควรอบด้วยความร้อนสูง ห้ามใช้เตารีดรีดทับบนลายสกรีนโดยตรง

4. ปัญหาในขั้นตอน Flex ไม่ติดมุมหรือขอบลอย

สาเหตุ:

พื้นโต๊ะรีดไม่เรียบ หรือใช้ผ้ารองหนาเกินไป

Flex มีฟองอากาศหรือติดไม่เต็มผิวผ้า

ไม่มีการรีดซ้ำหลังลอกฟิล์ม

วิธีแก้ไข:

ใช้ แผ่น teflon หรือแผ่นซิลิโคนเรียบ บนโต๊ะรีด

ใช้ไม้รีดกดซ้ำตรงขอบทันทีหลังลอก

รีดซ้ำหลังลอกฟิล์ม ด้วยแผ่นรอง 3–5 วินาที เพื่อเพิ่มการยึดติด

เคล็ดลับมืออาชีพ: ทำให้งาน Flex คม ติดทน และดูแพง

ตัดแบบ mirrored ทุกครั้งก่อนส่งเข้าเครื่องตัด

ใช้แผ่นเทฟล่อนหรือ parchment paper รองขณะรีด

ทดสอบชิ้นงานจริงก่อนรับออร์เดอร์จำนวนมาก

จัดแสงโต๊ะตัดและรีดให้สว่าง ลดข้อผิดพลาด

ทำ check list “Flex ที่ใช่กับผ้าที่ใช่” เพื่อไม่เสียงานซ้ำ

บทสรุป

งานสกรีน Flex หรือ HTV ถือเป็นเทคนิคที่ให้ผลลัพธ์สวยคมชัด เหมาะกับงานชื่อ เสื้อทีม เสื้อครอบครัว หรือเสื้ออีเวนต์ที่ต้องการความเร็ว ปัญหาสกรีนเฟล็กซ์ เกือบทั้งหมดสามารถป้องกันและแก้ไขได้ หากมีความเข้าใจในคุณสมบัติของวัสดุและควบคุม “สามเหลี่ยมทองคำ” (อุณหภูมิ, เวลา, แรงกด) ได้อย่างแม่นยำ การใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ตั้งแต่การเลือกใบมีด การทำ Test Cut การรีดไล่ความชื้น ไปจนถึงการให้คำแนะนำในการดูแลรักษากับลูกค้า ไม่เพียงแต่จะช่วยลดของเสียและต้นทุน แต่ยังเป็นการสร้างมาตรฐานและชื่อเสียงให้กับแบรนด์ของคุณในระยะยาวอีกด้วย

Scroll to Top