หนึ่งในหัวใจสำคัญของการสกรีนเสื้อให้งานออกมาสวย คมชัด และติดทนนาน คือ “หมึกพิมพ์” ที่เลือกใช้งาน เพราะแม้จะมีเครื่องพิมพ์ดีขนาดไหน ถ้าหมึกไม่เหมาะสม งานก็พังได้ง่าย ๆ

การสกรีนเสื้อเป็นศิลปะและงานฝีมือที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็นการสร้างแบรนด์เสื้อผ้าของคุณเอง ทำเสื้อทีม หรือของที่ระลึกต่างๆ หัวใจสำคัญของการสกรีนเสื้อที่ได้คุณภาพและคงทนคือการ เลือกหมึกพิมพ์ที่เหมาะสมกับชนิดผ้าและวัตถุประสงค์การใช้งาน บทความนี้จะเจาะลึกถึงประเภทของหมึกพิมพ์สกรีนเสื้อแต่ละชนิด รวมถึงเทคนิคการเลือกหมึกให้เหมาะกับงานของคุณ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สวยงาม ติดทน และตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า
ทำไมการเลือกหมึกพิมพ์สกรีนถึงสำคัญ?
การเลือกหมึกผิดประเภทอาจนำไปสู่ปัญหาหลายอย่าง เช่น สีไม่สดใส, หมึกหลุดลอกง่าย, เนื้อผ้าแข็งกระด้าง, หรือแม้กระทั่งทำให้เกิดปัญหาในการผลิต เช่น หมึกแห้งเร็วเกินไป หรืออุดตันบล็อกสกรีน การทำความเข้าใจคุณสมบัติของหมึกแต่ละชนิดจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้คุณสามารถสร้างสรรค์ผลงานที่มีคุณภาพสูงสุด

หากใครต้องการหมึก DTF ทางร้าน Screen168 มีจำหน่ายหมึกขาวและ CMYK หมึกคุณภาพที่ผ่านการทดสอบแล้ว
ประเภทของหมึกพิมพ์สกรีนเสื้อยอดนิยม
หมึกพิมพ์สกรีนเสื้อมีหลายประเภท แต่ละประเภทมีคุณสมบัติและข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกันไป ดังนี้:
1. หมึกพลาสติซอล (Plastisol Ink)
คุณสมบัติ:
เป็นหมึกที่ทำจากพลาสติกชนิดหนึ่ง (PVC) ผสมกับสารให้สี ไม่ได้แห้งด้วยการระเหย แต่ต้องอบด้วยความร้อนสูง (ประมาณ 150-160 องศาเซลเซียส) เพื่อให้หมึกเซ็ตตัว
ข้อดี: ให้สีที่สดใส มีความทึบแสงสูง เหมาะสำหรับพิมพ์บนผ้าสีเข้ม, มีความยืดหยุ่นดี, ทนทานต่อการซักล้าง, ไม่แห้งบนบล็อกสกรีนง่าย (ช่วยให้ทำงานได้ต่อเนื่อง) หมึกที่ให้สีสดชัดเจน ติดผ้าดีมาก นิยมใช้กับสกรีนเสื้อจำนวนมาก เช่น งานอีเวนต์ เสื้อโฆษณา
ข้อเสีย: เนื้อสัมผัสค่อนข้างหนา อาจทำให้รู้สึกกระด้างเมื่อพิมพ์บนพื้นที่กว้าง, ไม่เหมาะกับผ้าที่ระบายอากาศได้ไม่ดี, ต้องใช้อุปกรณ์อบหมึกโดยเฉพาะ ไม่เหมาะกับผ้าสีเข้ม ต้องใช้ underbase, สีอาจซีดหลังซักหากไม่อบความร้อนให้ดี
เหมาะสำหรับ: เสื้อยืดทั่วไป, เสื้อกีฬา, เสื้อแฟชั่นที่ต้องการสีสดและทึบแสงสูง
2. หมึกสียาง หรือ หมึกซอฟท์แฮนด์ (Rubber/Soft Hand Ink)
คุณสมบัติ:
เป็นหมึกที่มีส่วนผสมของน้ำยางสังเคราะห์ ทำให้เนื้อหมึกมีความยืดหยุ่นสูง และให้สัมผัสที่นุ่มนวลกว่าหมึกพลาสติซอล
ข้อดี: ให้สัมผัสที่นุ่มนวลคล้ายเนื้อผ้า, มีความยืดหยุ่นดีมาก, ทนทานต่อการซัก, เหมาะสำหรับพิมพ์บนผ้าที่ต้องการความนุ่มเป็นพิเศษ
ข้อเสีย: ความทึบแสงไม่สูงเท่าหมึกพลาสติซอล อาจต้องพิมพ์หลายรอบสำหรับผ้าสีเข้ม, อาจต้องผสมสีพิเศษเพื่อให้ได้เฉดสีที่ต้องการ
เหมาะสำหรับ: เสื้อยืดแฟชั่น, เสื้อเด็ก, เสื้อที่ต้องการสัมผัสเบาและนุ่ม
3. หมึกน้ำ (Water-Based Ink)
คุณสมบัติ:
เป็นหมึกที่มีส่วนผสมหลักเป็นน้ำ ทำให้ซึมเข้าสู่เส้นใยผ้าได้ดี แห้งตัวด้วยการระเหยของน้ำ หมึกน้ำเป็นหมึกที่ได้รับความนิยมสูงเพราะให้สัมผัสนุ่ม สีซึมเข้าไปในเนื้อผ้าได้ดี โดยเฉพาะผ้าคอตตอน งานที่ต้องการเนื้อผ้านุ่ม ใส่สบาย เหมาะกับหมึกชนิดนี้
ข้อดี: ให้สัมผัสที่นุ่มมาก เหมือนเป็นส่วนหนึ่งของเนื้อผ้า, ระบายอากาศได้ดี, เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (ปลอดสารพิษ), ทำความสะอาดอุปกรณ์ได้ง่ายด้วยน้ำ
ข้อเสีย: ความทึบแสงต่ำมาก ไม่เหมาะกับผ้าสีเข้ม (เว้นแต่จะเป็นหมึก Water-based Discharge) ต้องใช้ underbase สีอาจซีดหลังซักหากไม่อบความร้อนให้ดีแห้งบนบล็อกสกรีนค่อนข้างเร็ว (ต้องทำงานเร็ว), การดูแลรักษายากกว่าหมึกพลาสติซอล
เหมาะสำหรับ: เสื้อผ้าเด็ก, เสื้อผ้าแฟชั่นที่ต้องการความเบาสบาย, งานพิมพ์บนผ้าสีอ่อนที่ต้องการลุค “วินเทจ”
4. หมึก Discharge (หมึกลอกสีผ้า)
คุณสมบัติ:
เป็นหมึก Water-based ชนิดพิเศษที่ผสมสารเคมีเข้าไป เพื่อลอกสีของผ้าฝ้ายธรรมชาติออก และแทนที่ด้วยสีของหมึก
ข้อดี: ให้สัมผัสที่นุ่มที่สุด เสมือนไม่มีลายพิมพ์, สีสันสดใสบนผ้าสีเข้มโดยไม่ต้องพิมพ์รองพื้นขาว, ระบายอากาศได้ดีเยี่ยม
ข้อเสีย: ใช้ได้เฉพาะกับผ้าฝ้าย 100% ที่ย้อมด้วยสีย้อมที่สามารถทำปฏิกิริยากับหมึก Discharge ได้ (ผ้าบางชนิดอาจไม่เปลี่ยนสี), มีกลิ่นฉุนระหว่างการอบ, ขั้นตอนการทำงานซับซ้อนกว่าหมึกทั่วไป
เหมาะสำหรับ: เสื้อยืดวินเทจ, เสื้อแฟชั่นที่ต้องการลายพิมพ์ที่ซึมเข้าเนื้อผ้าอย่างเป็นธรรมชาติ, ผ้าฝ้าย 100%
5. หมึกเชื้อน้ำมัน (Solvent-Based Ink)
คุณสมบัติ:
เป็นหมึกที่มีตัวทำละลายเป็นน้ำมัน แห้งตัวด้วยการระเหยของตัวทำละลาย
ข้อดี: ยึดเกาะได้ดีบนวัสดุที่หลากหลาย เช่น ไนลอน, หนัง, โลหะ, พลาสติก, มีความทนทานสูงต่อสภาพอากาศและการขูดขีด
ข้อเสีย: มีกลิ่นฉุน, เป็นอันตรายต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมหากไม่ระมัดระวัง, ต้องใช้ตัวทำละลายเฉพาะในการทำความสะอาด
เหมาะสำหรับ: เสื้อแจ็คเก็ต, กระเป๋า, ร่ม, หรือวัสดุที่ไม่ใช่ผ้าฝ้าย
6. หมึก DTF (Direct to Film Ink)

หมึกพิมพ์ฟิล์มแล้วรีดลงเสื้อ เหมาะกับงานพิมพ์ทุกชนิด ใช้ได้ทั้งผ้าสีอ่อนและสีเข้ม ซึ่งทางร้าน Screen168 มีหมึกจัดจำหน่ายด้วย วิศวะประจำร้านทำการทดสอบหมึกพิมพ์แล้วพบว่ามีคุณภาพดีเหมาะแก่งานพิมพ์ที่ต้องการเน้นคุณภาพสูง
ข้อดี: ลายติดแน่น ไม่ต้อง Pre-Treatment, รองรับงานหลากหลายเนื้อผ้า
ข้อเสีย: ต้องใช้ฟิล์มและแป้ง DTF ที่เข้าชุดกัน
วิธีเลือกหมึกพิมพ์ให้เหมาะกับงานสกรีนเสื้อ
การเลือกหมึกที่เหมาะสมกับงาน ควรตั้งต้นจาก จุดประสงค์ของงานสกรีน และ ประเภทเนื้อผ้าที่จะพิมพ์ โดยมีหลักการพิจารณาง่าย ๆ ดังนี้
1. ชนิดของเนื้อผ้า
ผ้าฝ้าย 100% (Cotton 100%): เป็นผ้าที่ใช้งานได้หลากหลายที่สุด สามารถใช้ได้กับหมึกทุกชนิด (พลาสติซอล, สียาง, น้ำ, Discharge)
ผ้าผสม (Cotton/Polyester Blend): ควรเลือกหมึกพลาสติซอลหรือสียางที่ออกแบบมาสำหรับผ้าผสม เพื่อป้องกันปัญหาหมึกซึมลงผ้า (dye migration)
ผ้าใยสังเคราะห์ (Polyester, Nylon, Spandex): หมึกพลาสติซอลหรือหมึกเชื้อน้ำมันที่ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับผ้าใยสังเคราะห์ (Low Bleed Ink) เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เพราะผ้าเหล่านี้มีโอกาสเกิดปัญหาหมึกซึมลงผ้าได้ง่าย
2. สีของผ้า

ผ้าสีอ่อน: สามารถใช้ได้กับหมึกทุกชนิด หากต้องการสีสดใสและทึบแสง เลือกหมึกพลาสติซอล หากต้องการสัมผัสนุ่มและเบา เลือกหมึกน้ำ
ผ้าสีเข้ม: ควรเลือกหมึกพลาสติซอลเพื่อให้ได้สีที่ทึบและสดใส หากต้องการสัมผัสนุ่มบนผ้าสีเข้ม อาจพิจารณาหมึก Discharge (สำหรับผ้าฝ้าย) หรือหมึกพลาสติซอลแบบซอฟท์แฮนด์
3. ความต้องการสัมผัสและลุคของงาน
ต้องการสีสดใส, ทึบแสง, และความทนทานสูง: เลือก หมึกพลาสติซอล
ต้องการสัมผัสนุ่ม, ยืดหยุ่นสูง, เบาสบาย: เลือก หมึกสียาง หรือ หมึกน้ำ
ต้องการลายพิมพ์ที่ซึมเข้าเนื้อผ้า, สัมผัสนุ่มที่สุด: เลือก หมึก Discharge (สำหรับผ้าฝ้าย)
งานใส่แฟชั่น เน้นนุ่ม ใส่สบายควรเลือก หมึกน้ำ เหมาะกับเสื้อผ้าคอตตอน 100% เช่น เสื้อยืดแฟชั่น เสื้อเด็ก ช่วยให้ใส่สบาย ระบายอากาศดี
งานสีเข้ม ต้องการสีคมชัด ถ้าเป็นงานสกรีนบล็อกเลือก หมึกพลาสติซอล เพราะสีติดแน่น คมกว่า
ถ้าเป็นงานพิมพ์ภาพลงเสื้อ ใช้ DTG หรือ DTF โดยต้องเลือกหมึก DTG เฉพาะงานเสื้อสีเข้มที่มี white underbase หรือเปลี่ยนเป็น DTF จะให้ความคมชัดสูงกว่า
4. งบประมาณและอุปกรณ์ที่มี
หมึกพลาสติซอล: เป็นที่นิยมและหาซื้อง่ายที่สุด มีราคาที่หลากหลาย ต้องมีเครื่องอบหมึก
หมึกน้ำ/สียาง: มีราคาใกล้เคียงกับพลาสติซอล แต่บางชนิดอาจแห้งช้ากว่าเล็กน้อยและอาจต้องใช้เครื่องอบ
หมึก Discharge: มีราคาสูงกว่าหมึกทั่วไปเล็กน้อย และต้องมีระบบระบายอากาศที่ดีในพื้นที่ทำงาน
งานสกรีนด่วน เหมาะกับ DTF Ink โดยเฉพาะงาน 1-5 ตัว ไม่ต้องเสียเวลาทำบล็อก
งานใส่ซ้ำบ่อย ต้องการความทนทานสูงแนะนำ DTF เพราะผ่านการอบความร้อน ลายไม่หลุดง่าย รองรับการซักเครื่องได้ดี
5. สภาพแวดล้อมในการทำงาน
หากคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของผู้ปฏิบัติงาน ควรเลือก หมึกน้ำ ซึ่งมีสารเคมีน้อยที่สุด
เคล็ดลับเพิ่มเติมเพื่อผลลัพธ์การสกรีนที่ดีที่สุด

การเตรียมบล็อกสกรีน: เลือกความละเอียดของตะแกรงสกรีนให้เหมาะสมกับประเภทหมึกและความละเอียดของภาพ หมึกที่หนาอย่างพลาสติซอลควรใช้ตะแกรงที่ตาห่างกว่าหมึกน้ำ
การพิมพ์รองพื้น (Underbase): สำหรับการพิมพ์บนผ้าสีเข้มด้วยหมึกที่ไม่ทึบแสง เช่น หมึกน้ำ หรือเพื่อให้สีของหมึกพลาสติซอลสดใสขึ้น ควรพิมพ์หมึกขาวรองพื้นก่อน แล้วค่อยพิมพ์สีทับ
การอบหมึก: ปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้ผลิตหมึกอย่างเคร่งครัดเรื่องอุณหภูมิและระยะเวลาในการอบ เพื่อให้หมึกเซ็ตตัวสมบูรณ์และติดทนนาน
การบำรุงรักษาอุปกรณ์: ทำความสะอาดบล็อกสกรีนและอุปกรณ์ต่างๆ ทันทีหลังใช้งาน เพื่อยืดอายุการใช้งานและป้องกันปัญหาหมึกอุดตัน
การเลือกหมึกพิมพ์สกรีนเสื้อเป็นขั้นตอนสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม การทำความเข้าใจคุณสมบัติของหมึกแต่ละชนิด รวมถึงการพิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น ชนิดของผ้า, สีผ้า, ความต้องการสัมผัส, งบประมาณ และอุปกรณ์ที่มี จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง และสร้างสรรค์ผลงานสกรีนเสื้อที่มีคุณภาพ สวยงาม และคงทน สร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า และเพิ่มมูลค่าให้กับธุรกิจของคุณ
ต่อให้เลือกประเภทหมึกถูกต้อง แต่ถ้าคุณภาพไม่ดี ปัญหาก็จะตามมาทีหลัง เช่น ลายแตก สีซีด สีเยิ้ม ดังนั้นควรเลือกหมึกตามหลักนี้ ทดลองก่อนใช้งานจริง โดยเฉพาะกับงานลูกค้า ถ้าทำ DTF ควรเลือกหมึกใหม่ ไม่ซื้อของค้างสต๊อก
หมึกพิมพ์เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพงานสกรีนเสื้อ ถ้าคุณเลือกหมึกเหมาะกับประเภทเสื้อและจุดประสงค์การใช้งาน จะช่วยให้เสื้อพิมพ์ออกมาสวย คมชัด ไม่เสียชื่อร้าน
ร้านสกรีนเสื้อที่เลือกหมึกอย่างเข้าใจ จะลดต้นทุนซ่อมงาน ลดของเสีย และสร้างความประทับใจให้ลูกค้าได้ง่ายขึ้น