ในยุคที่การสกรีนเสื้อไม่ใช่แค่เพียง “พิมพ์ลายแล้วขาย” อีกต่อไป แต่กลายเป็นธุรกิจที่ต้องตอบโจทย์ทั้ง คุณภาพ, ความคมชัด, ความทนทาน, และ ความสามารถสร้างความแตกต่าง ให้กับลูกค้า ร้านที่เลือกใช้เทคโนโลยี DTF (Direct-to-Film) แล้ว แต่ไม่ใส่ใจ “ฟิล์ม DTF” ที่ใช้ อาจพลาดโอกาสมากมาย

โดยเฉพาะในธุรกิจร้านสกรีนเสื้อ — ฟิล์ม DTF คือหนึ่งในหัวใจขั้นตอนสำคัญ เพราะเป็นตัวกลางระหว่างลายที่พิมพ์บนฟิล์ม กับเสื้อผ้าที่จะติดลายไป ดังนั้น หากเลือกฟิล์มไม่เหมาะสม จะส่งผลหลายเรื่อง และสูญเสียความน่าเชื่อถือของร้านเพราะสินค้าที่ลูกค้าได้รับจะไม่มีประสิทธิภาพ
ถ้าคุณกำลังมองหาร้านสกรีนเสื้อคุณภาพที่ใช้เทคนิค DTF (Direct to Film) บทความนี้คือคู่มือสำคัญที่จะช่วยให้คุณเข้าใจ “ฟิล์ม DTF” หัวใจหลักของงานสกรีนยุคใหม่ และรู้วิธีเลือกเพื่อให้ได้งานสกรีนที่คมชัด สีสด และติดทนทานยาวนาน
DTF (Direct to Film) คืออะไร? ทำไมงานสกรีนถึงฮิตเทคนิคนี้?
ก่อนจะไปดูเรื่องฟิล์ม เรามาทำความรู้จักเทคนิค DTF กันก่อน DTF คือการพิมพ์ลายที่คุณต้องการลงบน “แผ่นฟิล์มพิเศษ” ด้วยหมึกเฉพาะทาง จากนั้นโรยผงกาว (Hot Melt Powder) แล้วนำไปรีดร้อนติดบนเนื้อผ้าต่างๆ ข้อดีที่ทำให้ DTF ได้รับความนิยมอย่างมากคือ:
ใช้ได้กับผ้าหลากหลายชนิด: ไม่ว่าจะเป็นผ้า Cotton, Polyester, ผ้าผสม, ไนลอน หรือแม้แต่ผ้าร่ม DTF ก็เอาอยู่
สีสด คมชัดสูง: พิมพ์ได้ทุกเฉดสี ทุกความซับซ้อนของลาย โดยไม่ต้องทำบล็อกสกรีน ให้สีสันสด คม แม้บนผ้าสีเข้ม เพราะมีการใช้ชั้นสีขาว underbase และฟิล์มที่รองรับสีชัดเจน
ความทนทานสูง: ลายติดแน่น ไม่หลุดลอกง่าย ทนทานต่อการซักและการใช้งาน
ยืดหยุ่นดี: ลายสกรีนไม่แข็งกระด้าง เคลื่อนไหวไปตามเนื้อผ้าได้ดี
สามารถพิมพ์ลายที่ซับซ้อน: ไล่เฉด มีสีหลายชั้นได้ง่ายกว่าเทคนิคสกรีนแบบดั้งเดิม
หัวใจสำคัญ: เลือกฟิล์ม DTF อย่างไรให้ได้งาน “พรีเมียม”
คุณภาพงานสกรีน DTF 80% ขึ้นอยู่กับคุณภาพของ “ฟิล์ม” และ “ผงกาว” นี่คือสิ่งที่คุณควรรู้และใช้เป็นเกณฑ์ในการเลือกร้านสกรีนที่มีคุณภาพ:
เกณฑ์การเลือกฟิล์ม DTF
1. ชนิดของฟิล์ม (Thickness & Texture)
ฟิล์มแบบหนา/บาง: ฟิล์ม DTF มีหลายความหนา และมีพื้นผิว (Texture) ให้เลือก เช่น ผิวด้าน (Matte) หรือผิวมัน (Glossy) (Texture) ให้เลือก เช่น ผิวด้าน (Matte) หรือผิวมัน (Glossy)
ความทนทานและความยืดหยุ่น: ฟิล์มหนาอาจทนทานกว่า แต่ฟิล์มคุณภาพดีที่บางจะให้สัมผัสที่แนบไปกับผ้ามากกว่า ความคมชัด: ฟิล์มคุณภาพสูงจะมีการเคลือบที่เหมาะสม ทำให้หมึกเกาะดี พิมพ์ลายได้คมชัด เก็บรายละเอียดได้ครบ
2. ความสามารถในการลอก (Peel Type)
ฟิล์มมี 2 แบบหลักคือ Cold Peel (ลอกเย็น) และ Hot/Warm Peel (ลอกขณะอุ่น/ร้อน)
3. คุณภาพของผงกาว (Hot Melt Powder)
ผงกาวที่ใช้ต้องมีคุณภาพดี มีความละเอียดสูง และทนต่ออุณหภูมิและความชื้น
การยึดเกาะและความทนทาน: ผงกาวคุณภาพสูงจะละลายและแทรกซึมเข้าสู่เส้นใยผ้าได้ดีกว่า ทำให้ลายติดแน่นมาก ซักแล้วไม่แตก ไม่หลุดลอกง่าย
4. การรองรับสี (Color Fidelity)
ฟิล์มต้องรองรับการพิมพ์ด้วยหมึก DTF โดยเฉพาะ และทำให้สีที่พิมพ์ออกมามีความสดใส ตรงตามไฟล์งาน (Color Accuracy)
ความสดของสี: ฟิล์มที่ดีจะช่วยให้สีไม่ซึม และคงความสดของสีได้เต็มที่ ทำให้ลายสกรีนโดดเด่นสะดุดตา
ข้อควรระวัง & จุดอ่อน
แม้ว่า DTF จะมีหลายข้อดี แต่ก็มี “จุดที่ต้องระวัง” ซึ่งร้านสกรีนเสื้อควรทราบ:
คุณภาพของฟิล์ม (และผงกาว) มีผลโดยตรงต่อความคมชัด ความติดทนของลาย ซึ่งถ้าเลือกผิดอาจเกิดปัญหาได้

การกด heat press ต้องถูกต้องทั้ง “อุณหภูมิ”, “แรงกด”, “เวลา” มิฉะนั้นสีอาจลอก หรือลายไม่ยึดแน่น
ฟิล์มบางรุ่นอาจมีราคาแพงหรือควบคุมการใช้งานยาก ต้องมีการทดลองก่อนใช้งานจริง
เนื่องจากลายที่ถูกติดจะอยู่บนผ้า ไม่ได้ซึมเข้าเนื้อผ้าแบบบาง DTG หรือแบบสกรีนบางชนิด จึงอาจรู้สึก “หนา” หรือ “รู้สึกได้” ถ้าใช้ลายหมึกหนา ใหญ่พื้นที่มาก ๆ
โครงสร้างของฟิล์ม DTF และปัจจัยที่มีผลต่อคุณภาพ
เพื่อให้ร้านสกรีนเสื้อสามารถเลือกฟิล์ม DTF ได้อย่างถูกจุด เรามาดูโครงสร้างฟิล์มและปัจจัยที่มีผลอย่างละเอียด
โครงสร้างเบื้องต้นของ DTF ฟิล์ม
ฟิล์ม DTF (PET film) ถูกผลิตขึ้นบนวัสดุฐาน PET (coated PET) แล้วมีการเคลือบหลายชั้น ได้แก่:
ชั้น Ink-absorption (รับหมึกได้ดี)
ชั้น Release (ให้ฟิล์มหลุดได้สะดวกหลังการกด)
ชั้น Anti-static / Anti-blocking (เพื่อป้องกันไฟฟ้าสถิตย์หรือแผ่นติดกัน)
นั่นหมายความว่า ฟิล์มธรรมดา PET ทั่วไปไม่สามารถใช้แทนได้โดยตรง ต้องมีคุณสมบัติเฉพาะสำหรับ DTF
ปัจจัยคุณภาพที่ควรตรวจสอบ
ความหนาของฟิล์ม (Film thickness): ฟิล์มที่หนามากมักจะทนทานกว่า แต่ต้องใช้การกดที่เหมาะสม (อุณหภูมิและแรงกดอาจสูงขึ้น)
ความโปร่งใส (Transparency): ฟิล์มที่โปร่งใสมักช่วยให้สีแสดงผลได้ดีขึ้น โดยไม่รบกวนสีของพื้นผ้า
ความสามารถในการยึดกาว (Adhesive/Release Quality): ฟิล์มต้องยึดกับผงกาวและยึดกับผ้าได้ดี ไม่ลอกง่าย
การเข้ากันได้กับหมึก (Ink Compatibility): ฟิล์มควรรองรับหมึกที่ร้านใช้ เช่น หมึกพิกเมนต์, หมึกสีขาว underbase และอื่น ๆ
ความสะดวกในการใช้งาน (Ease of Use): ฟิล์มบางรุ่นอาจใช้งานง่ายกว่า เหมาะกับมือใหม่ เช่น ฟิล์มที่ปลอกได้ง่าย (hot peel) หรือ cold peel
ความทนทาน (Durability): ฟิล์มดีควรทนแรงกด, ร้อน, ซักบ่อยโดยไม่หลุด ลอก หรือสีซีด
การเก็บรักษา (Storage Capacity): ฟิล์มควรเก็บได้ดี ไม่โดนความชื้นหรือความร้อนมากจนเสียคุณภาพ
วิธีเลือกฟิล์ม DTF อย่างมืออาชีพสำหรับร้านสกรีนเสื้อ
ตอนนี้เรามีภาพรวมและปัจจัยต่าง ๆ แล้ว มาเจาะลึกขั้นตอนที่ร้านควรทำจริง เพื่อให้เลือกฟิล์ม DTF ได้แบบ “คุ้มค่าระยะยาว” และงานสกรีนออกมาคมชัด ทนทานจริง

1. วิเคราะห์งานของร้านคุณ
ก่อนเลือกฟิล์ม ให้เริ่มจากการวิเคราะห์ “ลักษณะงาน” ของร้าน เช่น: กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่เป็นใคร (วัยรุ่น, ทีมกีฬา, เสื้อคู่, เสื้อแฟชั่น)
พื้นผ้าที่ใช้งานบ่อย: ผ้าคอตตอนสีอ่อน, ผ้าดำ, ผ้าโพลี, ผ้าผสม
จำนวนการผลิต: จำนวน small run / สั่งทำเฉพาะ / งานจำนวนมาก
ลวดลายที่ใช้: มีสีหลายชั้น, ไล่เฉด, มีรายละเอียดปลีกย่อย หรือโลโก้ง่าย ๆ
จากนั้นให้ตั้งเกณฑ์สำหรับฟิล์ม เช่น “ต้องใช้บนผ้าสีเข้มได้ดี”, “ต้องรองรับลายไล่เฉดสี”, “ต้องทนซัก 50 รอบขึ้นไป”
2. ตรวจคุณภาพฟิล์มเบื้องต้น
เมื่อผู้จำหน่ายเสนอฟิล์มมาให้ ควรทำการทดสอบง่าย ๆ ดังนี้
ดูความโปร่งใสของฟิล์ม: ถือแผ่นดูว่าแสงผ่านได้แค่ไหน สีของลายจะรบกวนพื้นหลังมากน้อยแค่ไหน
ตรวจชั้นเคลือบ: สังเกตว่าพื้นผิวเรียบเท่าไหร่ มีฝุ่น/ฟองอากาศหรือไม่
ทดสอบ powder shake (การโรยผงกาว): ฟิล์มที่ดีเมื่อโรยผงแล้ว ด้านขอบไม่มีผงหลุดหรือเลอะมากเกินไป
ทดสอบการลอก (peel): กด heat แล้วปลอกทันที (hot peel) หรือปล่อยเย็นก่อน (cold peel) แล้วดูว่าสะดวกหรือไม่
ทดสอบการกดจริง: ใช้ผ้าแบบเดียวกับที่ร้านใช้ กดที่อุณหภูมิ/แรงกด/เวลาที่แนะนำดูว่ายึดติดดีไหม
3. เปรียบเทียบต้นทุน vs ประสิทธิภาพ
ฟิล์มราคาถูกอาจดูน่าสนใจ แต่ถ้าเมื่อกดแล้วงานไม่ดี ซักแล้วลอก หรือสีซีดเร็ว จะกลายเป็นต้นทุนซ่อนเร้น (เสียเวลา, เสียผ้า, เสียชื่อเสียง)
ดังนั้นควรคำนึงถึง: ราคา ต่อ แผ่น (หรือ ต่อ เมตร) ผล ทดลองจริง (การทน ซัก, ความชัดของสี) การรับประกันจากผู้ผลิต/ผู้จำหน่าย ความสอดคล้องกับการตั้งค่าเครื่อง heat press ของร้าน
4. ตั้งค่าการใช้งานให้สอดคล้องกับฟิล์ม
เมื่อเลือกฟิล์มแล้ว ต้องตั้งค่ากระบวนการให้เหมาะสม เช่น อุณหภูมิ (°C) และเวลา (วินาที) สำหรับกด แรงกด (pressure) ให้เหมาะสมกับผ้าและฟิล์ม เวลาอบผงกาว (powder curing) วิธีลอก peel (hot หรือ cold) ตามฟิล์มที่ใช้ ทำ post-pressing (คลุมเทฟลอน Teflon หรือซิลิโคนแผ่น) เพื่อเพิ่มความทนทาน
5. จัดการสต็อกและการเก็บรักษา
จะให้ฟิล์มอยู่ในสภาพดี ควรเก็บภายใต้เงื่อนไขดังนี้: อุณหภูมิห้องประมาณ 20–28 °C, ความชื้น 40–60% เก็บในถุงหรือแพ็คเกจเดิม ปิดผนึก ไม่โดนแสง UV โดยตรง หลีกเลี่ยงการวางซ้อนฟิล์มนาน ๆ หรือโดนความร้อน/ความชื้นจัด
6. ทำ Sample และบันทึกผล
เมื่อเริ่มใช้ฟิล์มรุ่นใหม่ให้: ทำสกรีนตัวอย่าง 2–3 ผ้า (สีอ่อน, สีเข้ม, ผ้าผสม) ทดสอบซัก 10–20 รอบ แล้วบันทึกผลว่ายึดติดแค่ไหน สีซีด/ลอกไหม บันทึกค่าที่ตั้งเครื่องสำหรับฟิล์มนั้นไว้ (temperature, time, pressure) เพื่อใช้อ้างอิงในอนาคต
เทคนิคเสริมเพื่อให้ลาย DTF ออกมา “คมชัด และ ทนทาน”
เมื่อเลือกฟิล์มดีแล้ว ยังมี “เทคนิคการผลิต” ที่ช่วยให้ผลลัพธ์ดียิ่งขึ้น ซึ่งร้านสกรีนเสื้อควรใช้ควบคู่

1. ใช้ White Underbase อย่างถูกต้อง
สำหรับผ้าสีเข้มหรือผ้าผสมที่สีไม่อาจแสดงได้ดีโดยตรง การใช้ชั้นสีขาว underbase ก่อนสีจริงมีบทบาทมาก เพราะ:
ทำให้สีจริง (CMYK) แสดงได้ชัด ไม่มีอาการ “ซีด” หรือ “หมอง”
ทำให้ผงกาวยึดได้ดีขึ้นบนพื้นผ้าสีเข้ม
ร้านควรตั้งค่าพิมพ์สีขาวให้ถูกต้อง (ความหนาของเส้น, ความทึบ) แล้วจึงพิมพ์สีจริงตามด้วย ซึ่งจะช่วยให้ภาพคมชัดและสีโดดเด่น
2. กำหนดการกด Heat Press อย่างแม่นยำ
การกด heat press คือจุดที่ “ลายจากฟิล์ม” ถูกย้ายไปผ้า — หากตั้งค่าผิดอาจเกิดปัญหา เช่น ลอก ขึ้นขาว, หมึกไม่ทน, ขอบลายขันหรือย่น
อุณหภูมิ: ตามแนะนำของฟิล์ม/ผงกาว (อาจ 150–170 °C ขึ้นอยู่กับผ้าและฟิล์ม)
เวลา: เช่น 10–15 วินาที หรือมากกว่า ถ้าลายใหญ่
แรงกด: พอสมควรให้ผงกาวยึด แต่ไม่กดจนทับ fabric มากเกินไป
หลังการกด ควรปลอกฟิล์มทันที (สำหรับ hot peel) หรือปล่อยให้เย็นแล้วปลอก (cold peel) ตามฟิล์ม และอาจทำ post-pressing อีกครั้งเพื่อเพิ่มความยึดติดและลดรอยย่น
3. เลือกผ้าให้เหมาะกับ DTF
แม้ DTF จะรองรับผ้าหลากหลายชนิด แต่การเลือกผ้าที่เหมาะจะช่วยให้ผลลัพธ์ดียิ่งขึ้น เช่น
ผ้าคอตตอน 100% ให้ความรู้สึกนุ่ม สีแสดงชัด
ผ้าผสมหรือโพลี ควรเลือกฟิล์ม/ผงกาวที่รองรับ poly (ซึ่งบางรุ่นของฟิล์มรองรับได้ดีกว่า)
หลีกเลี่ยงผ้าที่มีพื้นผิวหยาบ มากเกินไป เพราะลายอาจไม่ยึดแน่น
4. ปรับ Artwork / ไฟล์ให้เหมาะกับ DTF
เพื่อให้ลายออกมาคมชัด แนะนำให้:
ใช้ไฟล์ PNG/ AI/ EPS ความละเอียดสูง (300 dpi ขึ้นไป)
ภาพ vector จะดีกว่าภาพ low resolution
ตรวจสอบว่าไฟล์มีช่องผ่านสีขาวหรือ underbase (ถ้าจำเป็น)
หลีกเลี่ยงเส้นบางมากเกินไป หรือพื้นที่สีทึบใหญ่ ถ้างานมีระยะเวลา/ต้นทุนจำกัด
5. ตรวจงานหลังผลิต &ดูแลลูกค้าเรื่องการซัก
การตรวจงานและแนะนำลูกค้าเรื่องการดูแลเสื้อจะช่วยลดการร้องเรียน เช่น:
ตรวจความติดลาย, ขอบลาย, ความแม่นยำของสี
แจ้งลูกค้าว่า “ควรซักด้วยน้ำเย็น, กลับด้านเสื้อ, หลีกเลี่ยงซัก แบบแรง/ใช้สารฟอก”
หากลายมีขนาดใหญ่หรืออยู่บนผ้าผสม ให้แนะนำว่าควรรีดจากด้านใน หรือหุ้มด้วยผ้าบางเมื่อรีด
สรุป: เลือกสกรีน DTF ที่ Screen168 มั่นใจได้งานคมชัด ทนทาน!
ที่ Screen168 เราใช้ ฟิล์ม DTF และผงกาวนำเข้าคุณภาพสูง ทั้งสองอย่างใช้ด้วยกันได้มีประสิทธิภาพ ผ่านการทดสอบจากทีมช่างและวิศวะประจำร้าน ทางร้านขายฟิล์ม ผงกาว หมึกด้วย หากสนใจสามารถติดต่อได้
ฟิล์ม DTF คือหัวใจของงานสกรีนเสื้อด้วยเทคโนโลยี DTF — หากเลือกดี งานจะคมชัด ทนทาน ลูกค้าพอใจ
อย่าเลือกฟิล์มเพียงเพราะราคา ต่ำ อย่างเดียว — ดูคุณภาพ, ความเข้ากันได้กับหมึกและผ้า, และผลทดสอบจริง